วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ควรฉีดตอนไหน

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ควรฉีดตอนไหน

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ถือเป็นวัคซีนอันดับแรกๆ ที่ช่วยในเรื่องของโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตหลักๆ ของโรคยอดฮิตในปัจจุบัน โดยเฉพาะโรคมะเร็งตับที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยที่วัคซีนนี้ จะประกอบไปด้วยโปรตีนจากผิวของไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งไม่ก่อให้เกิดโรค แต่จะเป็นการกระตุ้นภูมิต้านทานภายในร่างกาย ผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนนี้จะต้องได้รับการตรวจยืนยันจากแพทย์ว่ามีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบีอยู่ก่อนแล้วหรือไม่ หากยังไม่มี ก็สามารถฉีดได้ปกติ และรับคำแนะนำเพิ่มเติมจากแพทย์ได้

ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อกันผ่านช่องทางใด

  • การใช้เข็มฉีดยา หรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • การส่งผ่านเชื้อจากแม่สู่ลูกขณะคลอดและหลังคลอดบุตร
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันกับผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • การรับเลือดบริจาคที่ยังไม่ได้รับการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

อาการใดที่บ่งบอกว่าคุณติดไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี ถือเป็นภัยเงียบที่มีความอันตรายมาก เพราะผู้ป่วยมักจะไม่รู้ตัวว่าได้รับเชื้อมาแล้ว ไวรัสก็ยังทำให้โรคดำเนินไปเรื่อยๆ อาจกินระยะเวลายาวนานกว่า 10-20 ปีกว่าจะแสดงอาการออกมาให้เราสังเกตเห็น แล้วจึงไปพบแพทย์เมื่อสายเกินแก้

1. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีระยะเฉียบพลัน

ระยะนี้จะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 60-90 วัน หลังจากที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาจะมีอาการที่สามารถสังเกตได้ เช่น

  • ปวดบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา
  • มีไข้ เป็นหวัด คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
  • รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เหนื่อยง่าย
  • มีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ

หลังจากนั้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะเข้าต่อสู้กับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากภูมิมีความแข็งแรงดีก็จะสามารถกำจัดเชื้อออกไปได้และมีอาการดีขึ้นภายใน 14-30 วัน แต่หากสภาพร่างกายของผู้ติดเชื้อมีความอ่อนแอ เชื้อไวรัสไม่สามารถถูกกำจัดออกไปได้จะเข้าสู่ระยะของโรคต่อไป

2. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีระยะเรื้อรัง

โรคไวรัสตับอักเสบบี ในระยะเรื้อรังนี้ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยระยะยาว ในระหว่างนี้จะเกิดการอักเสบของตับ ทำให้เซลล์ตับอ่อนแอลงกลายเป็นพังผืดเกาะอยู่บริเวณตับ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นพาหะของโรค ที่มีโอกาสแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ แม้ว่าจะดูจากภายนอกแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีอาการป่วยใดๆ เลยก็ตาม และกลุ่มที่เป็นตับอักเสบเรื้อรัง เมื่อเจาะเลือดตรวจแล้วจะพบค่าการทำงานของตับที่ผิดปกติ แต่ผู้ป่วยไม่มีอาการใดๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การติดเชื้อแบบเรื้อรังนี้จะนำไปสู่โรคร้ายอย่างตับแข็ง และมะเร็งตับ ส่งผลเสียต่อสุขภาพและมีโอกาสเสียชีวิตได้

ใครบ้างที่ควรได้รับการฉีด วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ควรได้รับการฉีดเข้าสู่ร่างกายในคนทุกคน ตั้งแต่เด็กแรกเกิด และฉีดอย่างต่อเนื่องจนถึงอายุครบ 6 เดือน หรือหากตอนเป็นทารกน้อย ยังไม่ได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีก็สามารถเริ่มต้นฉีดได้ทันที สำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี เช่นเดียวกับ วัยผู้ใหญ่ที่มีแนวโน้มจะได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เช่น ผู้ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย ผู้ที่เคยตรวจพบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ผู้ที่ใช้สารเสพติดประเภทฉีดเข้าเส้น ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาล เป็นต้น

วิธีการ วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

ฉีดจำนวนทั้งหมด 3 เข็มด้วยกัน คือ ฉีดเข็มแรก และเว้นระยะไปฉีดเข็มที่ 2 ในเดือนถัดไป และฉีดเข็มที่ 3 หลังจากฉีดเข็มที่ 2 ไปแล้ว 5 เดือน หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มแล้ว ร่างกายจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้มากกว่า 97% เลยทีเดียว และยังสามารถป้องกันการติดเชื้อได้นานตลอดชีวิตโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปฉีดวัคซีนซ้ำอีกรอบ

ผลข้างเคียงของการฉีด วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี มีความปลอดภัยสูง โอกาสของการเกิดผลข้างเคียงมีเพียงเล็กน้อยและสามารถหายไปได้เองภายใน 1-2 วัน โดยไม่จำเป็นต้องทำการรักษาใดๆ เช่น มีอาการปวดตึงบริเวณไหล่หรือมีผื่นแดงขึ้นตรงแขนที่ฉีดวัคซีน มีไข้ ปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว แต่หากคุณรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติอื่นๆ หรือมีปฏิกิริยาการแพ้ที่รุนแรง นอกเหนือจากนี้ ควรรีบกลับไปพบแพทย์โดยด่วน จากบันทึกทางการแพทย์แล้วพบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีส่วนน้อยมากที่จะมีอาการการบาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิต

วิธีป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี

วิธีป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี

นอกจากการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีแล้ว การดูแลสุขภาพตัวเองเพิ่มเติมก็จะยิ่งช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคร้ายได้มากขึ้น โดยวิธีป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีเพิ่มเติม มีดังต่อไปนี้

  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • หมั่นตรวจคัดกรองโรคเกี่ยวกับตับ เป็นประจำทุกปี
  • ไม่ซื้อยามาทานเองพร่ำเพรื่อ โดยไม่ทำการปรึกษาแพทย์
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ และทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมภูมิต้านทานโรค

กล่าวคือ การอักเสบของตับที่เกิดจากไวรัสชนิดบีนี้ หากละเลย และปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษา ผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และกลายเป็นโรคมะเร็งตับในที่สุด การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยสร้างภูมิต้านทานต่อโรคได้ ที่สำคัญ ไม่มีความจำเป็นต้องเจาะเลือดตรวจดูภูมิคุ้มกันหลังจากการฉีดวัคซีนอีกด้วย หากใครยังไม่เคยฉีดควรติดต่อขอรับบริการ การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีได้ที่สถานพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศครับ

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมที่นี่

Similar Posts