โรคเอดส์ (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นภาวะเรื้อรังที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส เอชไอวี (HIV) ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคอื่นๆ โรคเอดส์เป็นโรคระบาดทั่วโลกมากว่าสี่ทศวรรษแล้ว และส่งผลกระทบอย่างมากต่อสาธารณสุข ปัญหาสังคม และเศรษฐกิจ โดยบทความนี้มีเนื้อหาสาระของโรคเอดส์ ประวัติ สาเหตุ อาการ และการรักษา
ประวัติโรคเอดส์
โรคเอดส์ เกิดจากไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกัน ไวรัสนี้มีชื่อว่า HIV (Human Immunodeficiency Virus) และพบว่าติดต่อผ่านทางของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด และน้ำนมแม่ การแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีเป็นไปอย่างรวดเร็ว และในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 ก็กลายเป็นโรคระบาดไปทั่วโลก โรคระบาดนี้สร้างความเสียหายอย่างมากโดยเฉพาะในแอฟริกา ซึ่งมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคเอดส์หลายล้านคน ในสหรัฐอเมริกา เอชไอวี/เอดส์ กลายเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญ ซึ่งนำไปสู่ความหวาดกลัว การเลือกปฏิบัติ และการตีตราอย่างกว้างขวาง

สาเหตุของโรคเอดส์
โรคเอดส์ เกิดจากเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) ซึ่งโจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เชื้อเอชไอวีติดต่อผ่านทางของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่ง และการให้นมบุตร การแพร่เชื้อที่พบบ่อยที่สุด คือ
- การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
- การใช้เข็มหรืออุปกรณ์ฉีดยาร่วมกัน
- การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์
เอชไอวี ไม่ได้ติดต่อผ่านการสัมผัสทั่วไป เช่น การกอด การจับมือ การรับประทานอาหารร่วมกัน หรือการใช้ห้องน้ำร่วมกัน นอกจากนี้ ยังไม่ติดต่อผ่านแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ยุง
อาการของโรคเอดส์
อาการของโรคเอดส์ อาจแตกต่างกันไปตามระยะของโรค ในระยะแรก ผู้ติดเชื้อเอชไอวีอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และต่อมน้ำเหลืองโต เมื่อโรคดำเนินไป ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง และผู้คนอาจมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น
- มีไข้
- เหงื่อออกตอนกลางคืน
- น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
- ท้องเสียเรื้อรัง
- มีผื่นที่ผิวหนัง
- ต่อมน้ำเหลืองบวม
- เชื้อราในช่องปากหรือการติดเชื้อราอื่นๆ
- อาการทางระบบประสาท เช่น ความจำเสื่อมหรือสับสน
การรักษาโรคเอดส์
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ แต่มีการรักษาที่สามารถชะลอการดำเนินของโรคได้ การรักษาโรคเอดส์ที่พบบ่อยที่สุดคือ การรักษาด้วย“ยาต้านไวรัส” โดยจะต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องและปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดตามที่แพทย์สั่ง จะต้องรับประทานยาให้ตรงเวลา รวมไปถึงหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่ทำให้เกิดการรับเชื้อใหม่ ตามหลักการสากลที่แพทย์ใช้รักษาผู้เชื้อเอชไอวี คือ
Undetectable = Untransmittable (U=U)
ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่

การป้องกันโรคเอดส์
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย : โดยการใช้ถุงยางอนามัยระหว่างกิจกรรมทางเพศ
- การตรวจเอชไอวี : การทราบสถานะเอชไอวีของคุณเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มร่วมกัน: เชื้อเอชไอวีสามารถติดต่อผ่านการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ฉีดอื่นๆ
- ใช้ยา PrEP: เป็นยาที่สามารถป้องกัน”ก่อน”การสัมผัสเชื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
- รับการรักษา : หากคุณติดเชื้อ HIV การเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุดสามารถช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกายของคุณและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
- ป้องกันระหว่างตั้งครรภ์: หากคุณกำลังตั้งครรภ์และมีเชื้อเอชไอวี การรับประทานยาต้านไวรัส ระหว่างการคลอดบุตร สามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสไปยังทารกได้อย่างมาก
อ่านบทความที่น่าสนใจ
แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเอดส์ให้หายได้ แต่ก็มีวิธีการรักษาที่สามารถชะลอการลุกลามของโรคได้ โดยการรับประทานยาต้านไวรัส จะทำให้ร่างกายผู้ติดเชื้อมีปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดต่ำลง และมีคุณภาพชีวิตได้ที่ดีแบบคนปกติทั่วไป สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดตามที่แพทย์สั่ง