โรคเอดส์…โรคร้ายอันตรายถึงชีวิต
เอดส์เป็นภาวะขั้นสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของผู้ป่วยเอดส์จะถูกทำลายเสียหายจนไม่สามารถต้านทานต่อโรคและการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและเกิดภาวะแทรกซ้อนของเอดส์ได้ง่าย และบางโรคบางอาการป่วยที่รุนแรงอาจเป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
โรคเอดส์คืออะไร
โรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome: AIDS) เกิดจากเชื้อไวรัส มีชื่อว่าเชื้อไวรัสเอชไอวี Human Immunodeficiency Virus (HIV) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ โดยเชื้อไวรัสจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวภายในร่างกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องจนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายกว่าคนปกติ
อาการของโรคเอดส์
เอดส์เป็นภาวะป่วยขั้นสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะแรกเริ่มติดเชื้อ จะมีอาการ เช่น มีไข้ ปวดหัว เจ็บคอ มีผื่น ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- ระยะอาการสงบ มักจะไม่มีอาการแสดงที่เด่นชัด หรือแทบจะไม่มีอาการป่วยเลย แต่ยังคงมีเชื้อพัฒนาอยู่ภายในร่างกาย
- ระยะเอดส์ เป็นระยะที่ภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนเสียหายหนัก ทำให้เกิดการติดเชื้อและเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ และเสี่ยงต่อการเสียชีวิต โดยเอดส์มีอาการสำคัญ เช่น มีไข้อยู่ตลอดเวลา เหนื่อยล้า หมดแรง น้ำหนักลด มีเหงื่อไหลตลอดทั้งคืน ท้องร่วงเรื้อรัง มีฝ้าสีขาว หรือแผลบริเวณลิ้นและปาก

สาเหตุของโรคเอดส์
เอดส์เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่อยู่ในเม็ดเลือดขาวทำงานบกพร่อง โดยเชื้อเอชไอวีสามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการรับของเหลวอย่างเลือด และผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกผ่านการตั้งครรภ์ การคลอด การให้นม การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเป็นโรคเอดส์
- ผู้ป่วยโรคเอดส์ควพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง
- พยายามลดความเครียดโดยการหากิจกรรมที่ชอบทำหรือกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
- ผู้ป่วยโรคเอดส์ควรรับประทานยาต้านไวรัสให้ตรงเวลาเป็นประจำและต่อเนื่องทุกวันตลอดชีวิต
- ดูแลตัวเองในด้านสุขอนามัยเพื่อไม่ให้เกิดโรคฉวยโอกาสและเพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
- ไม่ควรทานอาหารดิบ ต้องปรุงสุกก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

กิจกรรมเหล่านี้ไม่ทำให้ติดโรคเอดส์
- การกอด การสัมผัส
- การรับประทานอาหาร่วมกัน
- ไอ หรือจาม
- แมลง หรือยุงกัด
- การใช้สระว่ายน้ำร่วมกัน
- การใช้ห้องน้ำร่วมกัน

การป้องกันโรคเอดส์
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- ตรวจเลือดเป็นประจำ อย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี
- ใช้ยาต้านหลังการสัมผัสโรค PEP
- ใช้ยาต้านก่อนการสัมผัสโรค PrEP
การรักษาโรคเอดส์
ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาใดที่จะกำจัดเชื้อเอชไอวีให้หมดไปได้ในร่างกายของคนเรา มีเพียงแต่ยาที่จะช่วยชะลอการพัฒนาของโรค คือ ยาต้านเอชไอวี หรือยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals: ARVs) หากผู้ป่วยได้รับยาตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกที่ได้รับเชื้อ ยาจะออกฤทธิ์ควบคุมไม่ให้ไวรัสมีการแพร่กระจายและพัฒนาไปสู่การเจ็บป่วยในขั้นที่รุนแรงอย่างเอดส์
อ่านบทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ขอบคุณข้อมูล : Pobpad ,Lovefoundation